7 บทเรียนแห่งเวลาและชีวิตจาก “ชีวิตเรามีแค่สี่พันสัปดาห์”

ตอนนี้คุณใช้เวลา 4,000 สัปดาห์คุ้มค่าแล้วหรือยัง?

ถ้ายัง หรือยังไม่ดีพอ ขอให้ลองทบทวน 7 บทเรียนจากหนังสือ “ชีวิตเรามีแค่สี่พันสัปดาห์” เพื่อเป็นแนวทางในการออกแบบชีวิตและเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ กัน!

บทเรียนที่ 1 “ทัศนคติ” เปลี่ยน “ชีวิต” เปลี่ยน “อนาคต” เปลี่ยน

เมื่อคุณต้องเผชิญกับข้อเรียกร้องด้านเวลาหลายอย่าง การตีขลุมว่าทางออกเดียวคือ “การใช้เวลาให้ดีกว่าเดิม” ย่อมเป็นทางออกที่ง่ายที่สุดเท่าที่มนุษย์จะนึกได้ พัฒนาตัวเองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เคี่ยวเข็ญตัวเองให้หนักขึ้น ทำงานให้นานขึ้น ราวกับว่าคุณเป็นเครื่องจักรในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม แทนที่จะตั้งคำถามว่าข้อเรียกร้องเหล่านั้นสมเหตุสมผลหรือไม่

ทัศนคตินี้ล่อลวงให้เราพยายามทำหลายอย่างในคราวเดียวกันหรือใช้เวลาเท่าเดิมในการทำหลายสิ่งไปพร้อมกัน และในที่สุดก็จะเริ่มกลายเป็นสัญชาตญาณ การคิดภาพชีวิตของคุณเองตามแบบอนาคตที่คุณจินตนาการไว้ทำให้คุณสงสัยและกระวนกระวายว่าชีวิตจะออกมาอย่างที่คุณอยากให้มันเป็นหรือไม่ สุดท้าย สำนึกเกี่ยวกับคุณค่าของตนเองของคุณก็ได้เกี่ยวพันกับวิธีการใช้เวลาโดยสมบูรณ์

“เวลา” ไม่ใช่แค่ท้องน้ำที่คุณกำลังแหวกว่ายอยู่อีกแล้ว แต่ได้กลายเป็นสิ่งที่คุณรู้สึกว่าต้องควบคุมหรืออยู่เหนือมันถ้าอยากหลีกเลี่ยงความรู้สึกผิด ตื่นตระหนก หรือท่วมท้นจนรับไม่ไหว

จงเปลี่ยนทัศคติต่อข้อเรียกร้องด้านเวลาและการใช้ชีวิตเสียตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อการเปลี่ยนแปลงต่ออนาคตในอีกวินาทีข้างหน้า จนถึงทั้งชีวิตที่เหลืออีกไม่กี่พันสัปดาห์ของคุณ

บทเรียนที่ 2 ยิ่งสัมผัส “ประสบการณ์” ที่ยอดเยี่ยมมากเท่าไร ยิ่งรู้สึกเหนื่อยเกินรับไหวมากขึ้นอีก

อินเทอร์เน็ตทำให้ชีวิตทุกด้านทรมานมากขึ้น เพราะอินเทอร์เน็ตสัญญาว่าจะช่วยให้คุณใช้เวลาของตนเองได้ดีขึ้น และเปิดโอกาสให้คุณค้นพบสิ่งต่างๆ ที่คุณสามารถใช้เวลาด้วยอีกมากมาย แต่เครื่องมือนี้ที่คุณใช้เพื่อจะได้ใช้ชีวิตให้คุ้มค่าที่สุดนี่แหละที่กลับทำให้คุณรู้สึกว่าพลาดอะไรในชีวิตไปมากขึ้นและชัดเจนกว่าเดิม

Facebook เป็นช่องทางที่มีประสิทธิภาพสูงในการรับข่าวสารเกี่ยวกับงานอีเว้นต์ต่างๆ ที่คุณอาจสนใจเข้าร่วม แต่ก็จะทำให้คุณได้เห็นงานที่คุณอยากเข้าร่วมจำนวนมาก มากเกินกว่าที่ใครคนหนึ่งจะสามารถเข้าร่วมได้หมด Ok Cupid เป็นแอปพลิเคชันเดตที่มีประสิทธิภาพในการหาคู่ แต่ก็คอยสะกิดให้คุณเห็นคนอื่นๆ ที่อาจมีเสน่ห์มากกว่า ซึ่งคุณอาจอยากเดตด้วยมากกว่าคนเดิม อีเมลก็เป็นเครื่องมือที่ไม่เป็นสองรองใครสำหรับตอบข้อความปริมาณมากอย่างรวดเร็ว แต่ก็นั่นแหละ ถ้าไม่มีอีเมล คุณก็คงไม่จำเป็นต้องรับข้อความเหล่านั้นทั้งหมดตั้งแต่แรก เทคโนโลยีจำนวนมากที่เราใช้เพื่อพยายาม “ควบคุมทุกอย่าง” มักทำเราผิดหวังในที่สุด เพราะมันจะเพิ่มขนาดของ “ทุกอย่าง” ที่เราพยายามจะควบคุม

และสุดท้าย คุณจะเหนื่อย

บทเรียนที่ 3 ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ 100% และไม่มีใครเป็นอัมพาต 100%

หากทักษะในการบริหารจัดการเวลาเท่ากับการเรียนรู้ที่จะผัดวันประกันพรุ่งให้ดีด้วยการเผชิญหน้ากับความจริงของการมีข้อจำกัดและตัดสินใจเลือกตามข้อจำกัดนั้น การผัดวันประกันพรุ่งที่ไม่ดีส่วนใหญ่มักเกิดจากการพยายามหนีความจริงว่ามนุษย์มีข้อจำกัดเสมอ

ผู้ผัดวันประกันพรุ่งที่ดีจะยอมรับความจริงว่าตนไม่สามารถทำทุกอย่างให้สำเร็จลุล่วงได้ จึงพยายามตัดสินว่าควรมุ่งเน้นภารกิจใด และอะไรที่ควรละทิ้งอย่างชาญฉลาดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ผู้ผัดวันประกันพรุ่งที่แย่จะพบว่าตนกลายเป็นอัมพาตเพียงเพราะไม่อาจยอมรับความคิดเรื่องการเผชิญหน้ากับข้อจำกัดต่างๆ ของตนเอง การผัดวันประกันพรุ่งเป็นกลยุทธ์การหลีกหนีทางอารมณ์ เป็นวิธีการหาทางที่จะไม่รู้สึกถึงความกดดันในจิตใจที่เกิดจากการยอมรับว่าเขาเป็นมนุษย์ที่มีข้อจำกัด คอยขัดขวางไม่ให้เราสร้างความก้าวหน้าในงานที่มีความหมายกับตัวเราเอง

ด้วยเหตุนี้ การยอมรับว่ามนุษย์มีข้อจำกัดและบริหารข้อจำกัดอย่างชาญฉลาด จะเปิดประตูสู่ความก้าวหน้าในงานที่มีความหมายกับตัวเราเอง และทำให้ชีวิตของเราเบาสบาย

บทเรียนที่ 4 ต้องยอมให้ตัวเองเสี่ยงกับความรู้สึก “หวาดกลัว อึดอัด ไม่มีอำนาจ ไม่มีอิสรภาพ” และถูกจำกัดด้วยความจริง

วิธีการค้นพบความสงบทางใจในการทำโครงการยากๆ หรือในบ่ายวันอาทิตย์ที่น่าเบื่อ ไม่ใช่การไล่ตามหาความรู้สึกสงบหรือการหมกมุ่นสนใจกับอย่างอื่น แต่เป็นการตระหนักรู้ถึงความอึดอัดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และหันเหความสนใจไปสู่ความเป็นจริงของสถานการณ์ในปัจจุบันให้มากขึ้น แทนที่จะเอาแต่ก่นด่ามัน

พระนิกายเซนบางรูปถือว่าความทุกข์ทรมานทั้งหมดของมนุษย์โดยแก่นแท้แล้วก็คือความพยายามที่จะฝืนไม่สนใจความเป็นไปของสิ่งต่างๆ เพราะเราหวังให้มันเป็นแบบอื่น (“สิ่งนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้น!”) หรือเพราะเราหวังว่าตนเองจะมีอำนาจควบคุมกระบวนการที่เกิดขึ้น ดังนั้น การเข้าใจว่ามีความจริงแท้แน่นอนบางประการอยู่ในความเป็นมนุษย์ที่มีขีดจำกัดซึ่งคุณไม่มีวันเป็นอิสระได้ ถือเป็นความรู้สึกโล่งใจที่แสนเรียบง่าย

รางวัลอันแสนย้อนแย้งจากการยอมรับเงื่อนไขของโลกแห่งความจริงว่าคุณไม่มีสิทธิ์ที่จะบงการความเป็นไปของเหตุการณ์ต่างๆ อยู่แล้วก็คือ สิ่งเหล่านั้นจะไม่ทำให้คุณรู้สึกว่าโดนบีบบังคับอีกต่อไป

บทเรียนที่ 5 ตระหนักว่าความต้องการที่จะมั่นใจในอนาคตเป็นความต้องการที่ไม่มีวันจะได้รับการตอบสนองอย่างแน่นอน

ความวิตกกังวลว่าเราไม่สามารถควบคุมอนาคตได้เริ่มจะดูไร้สาระมากขึ้น แม้เราดำเนินชีวิตไปด้วยความกลัดกลุ้มเพราะเราไม่สามารถควบคุมว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่กระนั้นพวกเราส่วนใหญ่ก็คงจะยอมรับว่าเรามาถึงจุดที่เราอยู่ในชีวิตปัจจุบันโดยไม่ได้พยายามไปควบคุมอะไรมากมายนัก

สิ่งใดก็ตามที่คุณเห็นว่ามีค่าที่สุดในชีวิตสามารถสืบย้อนกลับไปได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญหลายอย่างรวมกันแบบที่คุณไม่อาจวางแผนล่วงหน้าได้ และแน่นอนว่าคุณไม่สามารถย้อนกลับไปเปลี่ยนแปลงมันได้ คุณอาจไม่มีวันได้ถูกเชิญไปงานเลี้ยงที่คุณได้พบกับคนที่จะเป็นคู่ชีวิตคุณในอนาคต พ่อแม่ของคุณอาจไม่วันได้ย้ายไปอยู่ในละแวกใกล้กับโรงเรียนที่มีคุณครูผู้สร้างแรงบันดาลใจ ผู้ซึ่งมองเห็นถึงพรสวรรค์ที่ซ่อนอยู่และช่วยให้คุณฉายแวว และถ้าคุณมองย้อนกลับไปนานกว่านั้น ไปถึงตอนก่อนที่คุณเกิด มันก็จะยิ่งเห็นความน่าเวียนหัวของความบังเอิญซ้อนความบังเอิญที่ทับถมกันเป็นกอง

เมื่อลองมองก้อนความวิตกกังวลต่างๆ ต่ออนาคตในบริบทของอดีต อาจง่ายกว่าถ้าปล่อยวาง

บทเรียนที่ 6 หยุดรบเร้าให้โลกหมุนเร็วขึ้น แล้วจะได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ

เหตุผลที่การพัฒนาทางเทคโนโลยียิ่งทำให้ความรู้สึกร้อนใจของเรารุนแรงขึ้น เพราะความก้าวหน้าใหม่ๆ แต่ละอย่างเหมือนจะพาให้เราเข้าใกล้จุดที่ทำให้เราก้าวข้ามขีดจำกัดของเราไปได้ คล้ายจะให้คำมั่นว่าในครั้งนี้พวกเราอาจสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้เร็วพอที่จะรู้สึกว่าสามารถควบคุมเวลาของเราได้โดยสิ้นเชิง จนทุกการย้ำเตือนว่าที่จริงแล้วเราไม่สามารถไปถึงการควบคุมในระดับนั้นได้เริ่มกลายเป็นเรื่องที่ไม่น่าพิสมัย

ทันทีที่คุณสามารถอุ่นอาหารค่ำในไมโครเวฟได้ภายใน 60 วินาที ก็เริ่มดูเหมือนจะเป็นไปได้ว่าคุณอาจทำแบบนั้นได้ภายใน 0 วินาทีเช่นกัน แต่พอคุณยังต้องรอถึง 60 วินาทีเต็มๆ  คุณก็เลยหงุดหงิดจนแทบบ้ายิ่งขึ้นไปอีก

เมื่อคนส่วนใหญ่เชื่อว่าคนเราควรตอบอีเมล 40 อีเมลให้ได้ในเวลา 1 ชั่วโมง การที่คุณจะถูกจ้างต่อไปอาจเกี่ยวข้องกับการที่คุณสามารถทำสิ่งนี้ได้ แต่พวกเขาไม่สนว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้

แม้น่าเสียดายที่ความจริงแล้วต่อให้คุณสามารถรวบรวมความสงบสุขภายในจิตใจได้เพื่อจะเลี่ยงการตอบสนองเช่นนั้นไม่มีอะไรแตกต่างกันมาก เพราะสุดท้ายคุณก็ยังต้องทนทุกข์ทรมานกับความใจร้อนของสังคมหรือความคาดหวังที่มากขึ้นของผู้คนโดยรวมว่าสิ่งต่างๆ ควรใช้ระยะเวลาเท่าใด แต่อย่างน้อย การหยุดรบเร้าให้โลกหมุนเร็วขึ้นจะทำให้คุณสามารถใช้ชีวิตได้ตามความเร็วของตนเอง และครอบครองผลลัพท์ที่ต้องการได้เต็มสองมือด้วยความเร็วนั้น

บทเรียนที่ 7 บำบัดความคิดของตัวเองว่า “เราไม่ได้สำคัญอะไรในจักรวาลแห่งนี้”

การบำบัดจิตใจด้วยการคิดว่าเราไม่ได้สำคัญอะไรในจักรวาลแห่งนี้เป็นเหมือนคำเชื้อเชิญให้เผชิญหน้ากับความจริงที่ว่า คุณไม่ได้สลักสำคัญในความเป็นไปของสรรพสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และนี่คือการโอบรับตัวตนอย่างเต็มที่ที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้ (เมื่อมองย้อนกลับไปแล้วมันตลกไหมที่คุณเคยจินตนาการว่าสิ่งต่างๆ เป็นอีกแบบหนึ่ง)

การให้ความยุติธรรมกับเวลาไม่กี่พันสัปดาห์ที่เป็นดั่งของขวัญอันน่าพิศวงนั้น ไม่ใช่แค่เรื่องของการมุ่งมั่นว่าจะ “ทำอะไรที่น่าทึ่ง” กับมัน ที่จริงแล้วมันเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง นั่นคือการไม่เอามันไปเปรียบเทียบกับมาตรฐานว่าจะต้องโดดเด่น ซึ่งเป็นนามธรรมและเรียกร้องมากเกินไป ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็จะเอาแต่ต้องการและยึดถือมาตรฐานเหล่านั้นแทนที่จะทำตามเงื่อนไขของตัวเอง พวกเขาควรลงมาจากความฝันเฟื่องเรื่องความสลักสำคัญในจักรวาล มาสู่การลิ้มลองชีวิตตามแบบที่มันเป็นจริงๆ ซึ่งเป็นรูปธรรม มีข้อจำกัด และหลายครั้งก็น่าอัศจรรย์เพียงพอแล้ว

บทความโดย howto


เรียนรู้ว่า “เรา” คือ “เวลา” ไปกับ

Four Thousand Weeks
ชีวิตเรามีแค่สี่พันสัปดาห์
Oliver Burkeman เขียน
วาดฝัน คุณาวงศ์ แปล

คลิกที่นี่เพื่อสั่งซื้อได้เลย

Leave a Reply

Your email address will not be published.

Like
Close
Copyright © 2022
บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน)
Close