“เมื่อเราคิดสิ่งไหน สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นจริง” จริงไหม? หนังสือ Manifest กฎแรงดึงดูด 7 ขั้นตอนสู่ทุกสิ่งที่ปรารถนา เขียนโดยคุณ Roxie Nafousi จะเป็นคู่มือสำคัญสำหรับทุกคนที่ปรารถนาจะรู้สึกถึงพลังภายในตัวเองมากขึ้นในชีวิตด้วยการปฏิบัติตาม 7 ขั้นตอนง่าย ๆ เราจะเข้าใจศิลปะที่แท้จริงของการใช้จิตดลบันดาลและสร้างชีวิตที่เราเฝ้าฝันถึงมาตลอดได้ สำหรับบทความนี้ HOW-TO จะมาถอดบทเรียนที่ได้จากหนังสือเล่มนี้ให้นักอ่านทุกท่านได้อ่านกันค่ะ
Manifest คืออะไร?
Manifest หรือ “จิตดลบันดาล” คือความสามารถในการสร้างชีวิตที่สมปรารถนา ดึงดูดสิ่งใดก็ตามที่เราปรารถนาให้เข้ามาในชีวิต และทำให้เรากลายเป็นผู้เขียนเรื่องราวของตนเอง แต่ Manifest ไม่ใช่แค่การคิดถึงเป้าหมายอย่างเดียว แต่เป็นความเชื่อจากจิตใต้สำนึกถึงสิ่งที่เราสมควรได้รับ เราจะใช้จิตดลบันดาลได้เฉพาะสิ่งที่เราเชื่อ อย่างแท้จริง ว่าเรามีค่าควรที่จะดึงดูดสิ่งนั้นเข้าสู่ชีวิตเรา และไม่ใช่แค่การนึกถึงหรือเขียนเป้าหมายเท่านั้นแต่เป็นการลงมือทำจริง
Manifest= เวทมนตร์
ตัวเราเอง=นักมายากล
ไม่ว่าจะเป็นคำว่า กฎแรงดึงดูด หรือ Manifest ล้วนเป็นสิ่งที่ใครหลายคนให้ความสนใจ ไม่ใช่แค่กับทศวรรษนี้เท่านั้น แต่สิ่งเหล่านี้ปรากฏขึ้นมานานแล้ว และในปัจจุบันมีเทรน #luckygirlsyndrome ที่แสดงให้เห็นถึง กฎของแรงดึงดูด การได้มาซึ่งสิ่งต่าง ๆ ด้วยจิตดลบันดาลตัวเอง
“Where I’ve come from is unthinkable, and I truly attribute this to manifesting”
ถอดบทเรียนจากหนังสือ Manifest
1.มองภาพให้ชัดเจน
เรามองภาพตัวเองอีก 10 ปีข้างหน้าไว้อย่างไร?เป็นคำถามที่เมื่อถูกถามจะใช้เวลาคิดนานกว่าคำถามโดยทั่วไป เป็นเพราะ “ความไม่รู้” หรือเพราะ “ไม่กล้าคิด” แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุผลอะไร จงจำไว้ว่าไม่ได้มีแค่เราเท่านั้นที่กำลังประสบกับภาวะดังกล่าว มีผู้คนมากมายที่อาจจะกำลังหลงทาง หาทางออกในชีวิตไม่เจอหรือแม้กระทั่ง หาเป้าหมายในชีวิตไม่เจอ แต่ไม่เป้นไร เพราะหนังสือเล่มนี้กำลังสอนให้เราจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เราปรารถนาให้เกิดขึ้นจริงจาก ‘ใจ’เท่านั้น ตัดสิ่งที่เราคิดว่าคนอื่น น่าจะ ต้องการออกไปก่อน
ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นสองครั้ง
-รอบิน ชาร์มา
ครั้งแรกในใจ จากนั้นก็ในความเป็นจริง
การนึกภาพมันออกมา มีความสำคัญต่อจิตดลบันดาล เวลาเราสร้างประการณ์หนึ่งขึ้นในใจ สมองจะตอบสนองกับสิ่งนั้นราวกับมันเกิดขึ้นจริง เช่น ถ้าเรานึกภาพว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด สมองจะตอบสนองราวกับว่าเราเครียดจริง ๆ ระบบประสาทเตรียมที่จะสู้หรือหนี (The fight or flight response) และจะหลั่งฮอร์โมนแห่งความเครียด คอร์ติซอลและอะดรีนาลินออกมา ทำให้หัวใจเราเต้นเร็วขึ้น หายใจติดขัดและแรงดันเลือดสูง แต่ถ้าในทางตรงข้ามกัน ถ้าเรานึกถึงสถานการณ์ที่ทำให้ใจเราสงบ สมองจะสั่งให้ระบบประสาทอยู่ในความสงบและทำให้ร่างกายผ่อนคลายได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราคิดจะส่งผลต่อสรีรวิทยาได้จริง! และเป็นตัวกำหนดว่าเราจะดึงดูดอะไรเข้ามาในชีวิตตาม “กฎของแรงดึงดูด”
การเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก ย่อมเกิดจากความฝันและความเชื่อมั่นอันสุดแรงกล้าของใครสักคน
เทียนหอม กระดาษ ปากกาสี จุดเริ่มต้นของความสำเร็จ
การเขียนวิชั่นบอร์ด เป็นการออกแบบชีวิตในแบบที่เราอยากเป็น ที่เคยคิดอยู่แค่ในสมองมาตลอด จะช่วยให้ถ่ายทอดออกมาจากสมองให้ภาพนั้นชัดเจนมากขึ้น คุณโรซี่บอกว่า “เราไม่สามารถถึงจุดหมายปลายทางที่ต้องการได้ หากไม่รู้ว่าตัวเองกำลังมุ่งหน้าไปทางไหน” Mini tricks ที่ได้จากหนังสือเล่มนี้คือ การเขียน แปะและเก็บ!
1.สร้างบรรยาศด้วยเทียนหอม เปิดเพลงคลอ หาพื้นที่สงบ
2.ใช้กระดาษหรือการ์ดแผ่นใหญ่ เขียนเป้าหมายด้วยปากกาสี หรือแปะภาพที่ชอบ
3.กำหนดเวลา คือวันที่ที่เราอยากให้สิ่งนี้เกิดขึ้นจริง
4.ลงมือทำ ใส่ตัวตนและความรู้สึกลงไปในวิชั่นบอร์ด ใส่ความรู้สึกลงไปในอนาคตที่อยากให้เกิดขึ้นจริงๆ
5.แยกวิชั่นบอร์ดออกเป็น 6 ส่วน คือ
พัฒนาตนเอง, ความรักและความสัมพันธ์ ,หน้าที่การงาน ,เพื่อนและครอบครัว ,บ้าน/ที่อยู่ และงานอดิเรก/สิ่งบันเทิง
6.ออกแบบชีวิตแต่ละส่วน เช่น แปะบ้านในฝันลงในส่วนของบ้าน/ที่อยู่
7.เก็บไว้ในที่ที่ปลอดภัย เปิดดูเมื่อถึงวันที่เราเขียนในบนหัวกระดาษ
ขณะที่เขียนวิชั่นบอร์ดให้จำไว้ว่า เมื่อเราเริ่มเขียน จงโอบรับตัวตนที่เราปรารถนาและเป้าหมายที่เราหวังไว้จะขยายตัวและเมื่อเราเติบโตขึ้น ความฝันของเราจะเติบโตตามไปด้วย ปล่อยตัวตามสบายและยืดหยุ่นกับการนึกภาพบางอย่างอย่างเต็มที่จะเติมหรือลบอะไรก็ได้ตามสบายเลยนะ
2.จุดเริ่มต้น คือการรักตัวเองอย่างไร้เงื่อนไข
เป็นอีกหนึ่งบทที่ HOW-TO อยากแนะนำเพราะเราเห็นด้วยแบบสุดใจเลยว่า ถ้าไม่รักตัวเอง(มากพอ) ไม่ว่าจะอยากได้อะไร ฝันอะไร อยากเป็นแบบไหน สุดท้ายสิ่งนั้นจะไม่มีวันเกิดขึ้นจริง เพราะลึก ๆ แล้วเราเองก็เชื่อว่าตัวเอง “ไม่สมควรได้รับมัน”
การรักตัวเองหมายถึงการเห็นคุณค่าความเป็นอยู่ที่ดีและความสุขของตนเองอย่างแท้จริง ปกป้องตัวเอง ไม่ตัดสิน ไม่เสียใจ ไม่พูดเชิงลบกับตนเอง โอบรับตัวตนที่แท้จริงที่สุดของตนเอง หยิบยื่นความเมตตา การอดทนรอ และการให้อภัยตัวเองในระดับเดียวกับที่มอบให้ผู้อื่นอย่างเต็มที่ มีวิธีการมากมายในการเริ่มต้นรักตัวเอง แต่วิธีที่หนังสือเล่มนี้แนะนำคือ ตระหนักรู้ถึงทางเลือกต่าง ๆ ที่เรามี และการตัดสินใจต่าง ๆ ที่เราเลือกทำในแต่ละช่วงเวลาและในทุกห้วงเวลา
เริ่มต้นบ่มเพาะการรักตัวเอง
1.มีสติตระหนักรู้
2.เคารพความรู้สึกตัวเอง
3.เคารพจุดหมายในวันพรุ่งนี้
ลองหรี่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ให้เบาลงและเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นเชียร์ลีดเดอร์ของตัวเอง หยิบยื่นคำชมให้ตัวเองในเวลาที่เราทำได้ดี ลดการตำหนิเมื่อทำในสิ่งที่ไม่ถูกใจ รวมถึงยอมรับคำชมจากคนอื่น บอกตัวเองว่า “นี่แหละคือสิ่งที่ฉันคู่ควร” “ฉันมีคุณค่า” สิ่งนี้เรียกว่า Self-Affirmation หรือ กระบวนการที่เรายืนยันคุณค่าในตัวเอง สังเกตตัวเองว่าเรามีเสียงภายในอย่างไรเมื่อทำตามเป้าหมายสำเร็จ “ยินดี ชื่นชม หรือรู้สึกว่าไม่คู่ควร” เรามีการพูดกับตัวเองอย่างไรเมื่อผิดพลาด “ตอกย้ำ ซ้ำเติมหรือให้โอกาส” ลองเปลี่ยนความคิดด้านลบนั้นเป็นคำพูดหรือเสียงภายในที่เต็มไปด้วยความหวังดีและใจดีเหมือนที่เรามอบให้คนอื่นอย่างง่ายดาย
3.เดินออกจากพื้นที่ปลอดภัยของตัวเอง
ความสบายใจอาจจะเกิดขึ้นที่ที่เรารู้สึกปลอดภัยก็จริงแต่ เวทมนตร์จะเกิดขึ้นนอกพื้นที่ปลอดภัยเสมอ เราจะค้นพบสิ่งที่ไม่เคยได้เห็น รู้จักกับสิ่งใหม่ ผู้คนใหม่และค้นพบศักยภาพภายในตัวเอง ที่อาจจะยังไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีสิ่งนี้ในตัว การยึดติดกับความปลอดภัยหรือความสบายใจจนเกินไป มันมักจะมีสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นตามมาด้วยคือ “ความกลัว” “ความกังวล” ที่มาในรูปแบบของความไม่มั่นใจ ความเชื่อที่บั่นทอน ความรู้สึกไร้ค่าและสุดท้าย เราจะไม่กล้าพาตัวเองออกไปเจอกับสิ่งใหม่ ที่อาจเป็นสิ่งที่ดีกว่าที่เป็นอยู่
การรับรู้ว่าตอนนี้เราสบายใจจนอยากจะเอนกายลงแบบไม่ตั้งการ์ดให้เหนื่อยกับพื้นที่ตรงนี้ เป็นสิ่งที่ดี และแน่นอนว่าการรู้ว่าตอนไหนที่ต้องลองก้าวออกมาจากพื้นที่ที่เราสบายใจ เป็นอะไรที่สุดเจ๋ง แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ไม่เช่นนั้นคงไม่มีใครยอมอยู่ในความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ หรือไม่ยอมลาออกจากการที่หัวหน้าและเพื่อนร่วมงาน toxic แบบสุด ๆ
หนังสือเล่มนี้บอกว่า “การใช้จิตดลบันดาลการเปลี่ยนแปลง เราต้องสร้างการเปลี่ยนแปลงขึ้นก่อน เราต้องทําสิ่งที่ต่างไปจากเดิม เราต้องท้าทายความกลัวและความกังขาของเรา เราต้องทําตัวแบบที่ตัวตนในอนาคตของเราจะทํา และเราต้องแสดงให้จักรวาลเห็นว่า เราพร้อมและเต็มใจที่จะโอบรับพลังของเรามากเพียงใด”
4.การลงมือทำ คือวิธีการกำจัดความกลัวและความกังขา
วิธีการที่สามารถทำได้เพื่อขจัดความกลัวและความกังขาที่เกิดขึ้นกับตัวเราเองคือ การลงมือทำ เป็นการพัฒนาตัวเองแบบภาคปฏิบัติ นี่เป็นสิ่งที่เราลั่นวาจาแล้วว่าจะทำมันทุกวัน ขจัดความเชื่อที่บั่นทอน ตระหนักในคุณค่าภายใน ปลดปล่อยศักยภาพและปลุกความมั่นใจที่จะเกิดขึ้นมาพร้อมเราคนใหม่
4 วิธี เยียวยาความกลัวและความกังขา
1.จัดการความคิด : จิตดลบันดาลไม่ได้เกิดจากความคิดใต้จิตสำนึกเท่านั้น แต่ยังเกิดจากความเชื่อในจิตใต้สำนึกที่เรามีต่อสิ่งที่ตัวเองสมควรได้รับด้วย “จิตใต้สำนึกเชื่อฟังจิตสำนึก” เมื่อไหร่ก็ตามที่เราคิดด้วยสติ จิตใต้สำนึกจะเชื่อว่าสิ่งนั้นเป็นความจริง และไม่ว่าจิตใต้สำนึกเราจะมองว่าตัวเองไม่มีค่า ไม่สมควร ไม่คู่ควรแค่ไหน ไม่เป็นไร ลองป้อนข้อมูลความคิดใหม่เพื่อเสริมพลังให้จิตใต้สำนึกเพื่อให้เรามองเห็นคุณค่าในตัวเองมากขึ้นและกระตุ้นพลังแห่งจิตดลบันดาล เอาชนะความคิดได้ลบซะ!
2.ระวังภาษาที่ใช้ : ไม่ว่าจะในใจหรือที่เราพูดออกมา เพราะสิ่งเหล่านี้จะส่งตรงไปยังจิตใต้สำนึกของเราไม่ต่างจากความคิด ภาษาที่ใช้จะส่งผลเสียต่อเราด้วยการหล่อเลี้ยงความกลัวและความกังขา
📌แทนที่คำว่า ‘ถ้า’ ด้วยคำว่า ‘เมื่อ’
📌พูดถึงสิ่งที่ เราต้องการ ไม่ใช่สิ่งที่เราไม่ต้องการ
📌ปรับเปลี่ยนคำพูดอย่างมีสติ
📌ยอมรับคำชม
3.ท่องมนตร์สะกด : คือ การพูดกับตัวเอง หรือ Self-talk ที่เราสามารถพูดออกมาซ้ำ ๆ หรือพูดในใจเมื่อไหร่ก็ได้ เพื่อลดความเครีนดและยกระดับความถี่ในการสั่นสะเทือนของเรา เป็นประโยคเชิงบวก เช่น ‘ฉันมีค่าควร’ ‘ฉันดีพร้อม’ หรืออาจจะใช้วิธีเขียนประโยคเชิงบวก ไว้ในที่ที่เรามองเห็นได้ในทุกวัน
4.ฝึกการนึกภาพ : การนึกภาพลูกบอลระเหิดหาย หลับตา สูดหายใจลึก ๆ หายใจออกยาว ๆ นับถึงสี่ตอนหายใจเข้าและนับถึงสี่ตอนหายใจออก ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนรู้สึกว่าเราสงบลงและผ่อนคลาย นึกภาพความกลัวในใจ วาดภาพความคิด อารมณ์และความรู้สึกที่เกิดจากความกลัว จับเป็นก้อนกลม ๆ นึกภาพความไม่มั่นใจ ความกังวล ทำให้ลูกบอลนั้นใหญ่ขึ้น จากนั้นทุกครั้งที่หายใจเข้าให้วาดภาพเส้นสว่าง ๆ ส่องผ่านตัวเรา เพื่อเอาชนะลูกบอลดำมืดนั้น ทุกครั้งที่หายใจออก ให้วาดภาพลูกบอลให้เล็กลงเรื่อย ๆ จนกว่าลูกบอลจะระเหิดหายไป
HOW-TO เชื่อว่าทุกคนเคยใช้ Manifest มาก่อน อาจจะแบบที่เราเองรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว แต่หนังสือเล่มนี้จะพาทุกคนมาใช้ Manifest หรือ จิตดลบันดาลได้อย่างเข้าใจและลึกซึ้งมากขึ้น เพื่อให้ตัวเองเป็นผู้กำหนดชีวิต ความฝัน เป้าหมายที่เราอยากให้เกิดขึ้นจริง ผ่าน 7 ขั้นตอนสู่ทุกสิ่งที่ปรารถนา และไม่ว่าตอนนี้คุณอาจจะกำลังเจอกับช่วงเวลาแห่งความสับสน เคว้งคว้าง กำลังหลงทางกับเส้นทางหรือหาความหมายของชีวิตไม่เจอ เราขอให้หนังสือเล่มนี้ช่วยปลอบประโลมและปลุกตัวตนที่หลับใหลอยู่ในตัวเรา เป็นตัวตนที่รักตัวเอง เห็นคุณค่าในตัวเองและเป็นตัวเองในแบบที่เราต้องการนะคะ:)
บทความโดย สำนักพิมพ์ howto
บทความพิเศษที่เราอยากแนะนำ
“ความปรารถนา” หลักปรัชญาแห่งความมั่งคั่งและความสำเร็จสู่ความร่ำรวย
โบยบินสู่ “อิสระ” ด้วยการเอาชนะ “ความกลัว” ไปกับอีดิธ อีเกอร์