กฎแห่งแรงสั่นสะเทือน กล่าวว่า ทุกอย่างในจักรวาลล้วนมีแรงสั่นสะเทือนของตัวเอง และสิ่งที่มีความถี่ของการสั่นสะเทือนตรงกันย่อมดึงดูดหากัน หมายความว่า หากคุณบ่มเพาะความคิด คำพูดและการกระทำบวกให้กับตัวเองและส่งแรงสั่นสะเทือนนั้นสู่ภายนอกก็จะเรียกพลังบวกรอบตัวเข้าหา และเมื่อสะสมมากเข้า คุณก็มีสิทธิ์เลือกชีวิตดีกว่าที่เป็นอยู่ ไม่ว่านิยามของคำว่า “ดี” ของคุณจะเป็นอย่างไรก็ตาม
สังเกตเหมือนกันไหมว่าเทรนด์การอ่านหนังสือเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเสมอ จากแนวคิดที่ต้องโปรดักทีฟเท่านั้น มาจนถึง การมองหาความสุขในชีวิต อาจจะเป็นเพราะวิกฤตการณ์ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ทำให้เราเรียนรู้กันมากขึ้นว่า “ชีวิตคือสิ่งที่ไม่แน่นอน” การมีความสุขในทุกขณะชีวิตคงจะดีกว่า และ ‘กฎแรงดึงดูด’ ก็เป็นตัวเลือกของใครหลาย ๆ คน
หนังสือกฎแรงดึงดูดมีอยู่มากมายแต่ตอนนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักหนังสือ Good Vibes, Good Life หรือ “ใช้คลื่นพลังบวก ดึงดูดพลังสุข” เขียนโดย เว็กซ์ คิงส์ อินฟลูเอ็นเซอร์ทางอินสตาแกรมผู้ให้แรงบันดาลใจแก่คนทั่วโลก เจ้าของเทรนด์ Good Vibes Only! ในตอนนั้นที่มีเทรนด์นี้ขึ้นมา หลายคนให้ความสนใจแต่ก็มีหลายเสียงที่เห็นต่าง
หากมองเห็นแต่ด้านบวก ชีวิตจะมีความสุขจริง ๆ ได้อย่างไร
หากไปสนใจด้านลบเลย จะทำให้เราคิดบวกได้จริงหรือ
การคิดบวกและมองบวกคือการหลอกตัวเองหรือเปล่า
หากได้ลองอ่านหนังสือเล่มนี้คุณจะรู้เลยว่า สิ่งที่คุณเว็กซ์ คิงส์ ต้องการจะสื่อคืออะไร กฎแรงดึงดูดในหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่การคิดเฉย ๆ แล้วจะดึงดูดทุกสิ่งมาได้ตามต้องการ ไม่ใช่การหลอกตัวเองหรือมองข้ามความเป็นจริง เพราะสิ่งดีงามที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราไม่ได้เกิดขึ้นมาเอง แต่มันผ่านการตัดสินใจ การละทิ้งและการเปลี่ยนแปลงมากมายรายทาง
Good Vibes, Good Vibe ใช้คลื่นพลังบวกดึงดูดพลังสุข ไม่ได้ต้องการให้เราคิดแต่ด้านบวก ใส่ใจแต่ด้านบวก จนเมินเฉยต่อด้านลบไปซะ และหากใครเคยได้ศึกษาเกี่ยวกับ Toxic Positivity หรือภาวะคิดบวกเป็นพิษ คุณจะรู้เลยว่า กฎแรงดึงดูดในหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่แบบนั้น หากคุณอยากเริ่มต้นอ่านหนังสือพัฒนาตนเองเล่มนี้เป็นอีกหนึ่งเล่มที่แนะนำให้อ่าน ทั้งแนวคิดที่เข้าใจง่าย สามารถนำไปปรับใช้ได้จริงและสอดแทรกไปด้วยประโยคชวนฉุกคิดตลอดทั้งเล่ม
ชีวิตจะทดสอบคุณ ก่อนที่จะให้สิ่งดี ๆ แก่คุณ
คุณไม่อาจก้าวไปข้างหน้าได้ด้วยความคิดที่รั้งคุณไว้
บางคราวคุณก็ต้องพาตัวเองออกจากพิษภัยเพื่อรักษาตัว
ถ้าขอให้กล่าวถึงทุกสิ่งที่รัก ต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าคุณจะกล่าวถึงตัวเอง
รู้จักกับ “เว็กซ์ คิงส์” ทำไมใคร ๆ ก็เชื่อเขา
เว็กซ์ คิง เป็นโค้ชด้านจิตใจ นักเขียนและนักธุรกิจไฟล์สไตล์ เขาใช้ไหวพริบทางธุรกิจและความคิดสร้างสรรค์ด้านศิลปะ มารวมเข้ากับระบบความคิดปรัชญา ความรอบรู้ด้านจิตวิญญาณและความเชื่อมั่นในทัศนคติที่เป็นบวก เพื่อสร้างความสำเร็จ
เว็กซ์ ยังเป็นเจ้าของผู้ก่อตั้ง Bon Vita แบรนด์คอนเทนต์ไลฟ์สไตล์ที่ให้มุมมองเสริมกำลังใจ ความรอบรู้ด้านจิตวิญญาณ ทางออกที่ทำได้จริง เรื่องราวแห่งแรงบันดาลใจ บทเรียนชีวิตและอื่น ๆ เขามีผู้ติดตามมากมายในโซเชียลมีเดีย
เขาใช้อิทธิพลในแง่บวกของเขาในการเผยแพร่แคมเปญ Good Vibes Only (ความรู้สึกดีเท่านั้น) เพื่อให้ผู้คนไขกุญแจไปสู่ศักยภาพเต็มของตัวเองและแสดงความเป็นเลิศในทุกด้านของชีวิต
แคมเปญนี้ไม่ได้เป็นการหลอกตัวเอง เพราะมันคือทุกสิ่งที่สามารถทำได้เกี่ยวกับตัวเอง โพสต์ของเว็กซ์คิงไม่ได้เกินจริง ข้อความส่วนใหญ่เป็นข้อความทั่วๆ ไปเกี่ยวกับการรักตนเองและการยอมรับตนเอง
ดูเหมือนเขาจะผ่านเส้นทางที่เพอร์เฟ็กต์แต่เขาเองก็เคยผ่านจุดที่ตกต่ำที่สุดในชีวิต ทั้งไม่มีบ้านอยู่อาศัย ต้องเร่ร่อนกับครอบครัว พบเจอฆาตกรรมหมู่ตั้งแต่เด็ก แถมพอลืมตาอ้าปากก็มีเหตุให้ล้มเหลวอยู่เรื่อย จนได้พบกับกฎแห่งแรงสั่นสะเทือนและเชื่อในพลังของการส่งต่อความรู้สึกดีที่จะย้อนกลับมาสู่ผู้ให้
หนังสือเล่มนี้จึงเป็นคู่มือทางใจของการสร้างพลังบวกให้กับตัวเอง เพื่อก้าวสู่ชีวิตที่ยอดเยี่ยมกว่าที่เป็นอยู่ หนังสือเล่มนี้จะพาคุณตั้งคำถามกับตัวตนและสิ่งที่ปรารถนาอย่างแท้จริง ซึ่งตัวคุณในวัยเด็กอาจจะเคยใฝ่ฝันแต่ก็ปล่อยไปดื้อ ๆ เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ และสะกิดแผลใจ ให้คุณกล้าเผชิญกับมัน ต่อสู้กับมันและไล่มันออกจากชีวิต ก่อนจะก้าวเข้าสู่ความสุขและความสำเร็จ
การรักตัวเอง ส่วนสำคัญของการใช้ กฎแห่งแรงสั่นสะเทือน
การรักตัวเองคือการสร้างความสมดุลระหว่างการยอมรับสิ่งที่ตัวเองเป็น ในขณะที่ก็รู้ว่าคุณสมควรได้รับสิ่งที่ดีกว่าและพยายามไปให้ถึงจุดนั้น
เว็กซ์ คิงส์ ผู้เขียนหนังสือ ใช้คลื่นพลังบวกดึงดูดพลังสุข
การสร้างสมดุลจะช่วยให้สบายใจขึ้นและยังเลี่ยงความรู้สึกแย่ ๆ อย่างความรู้สึกผิดได้ คุณแสดงให้เห็นการลงมือทำอะไรบางอย่างและการนิ่งอดทน การเข้าใจและให้อภัย รวมถึงการหนักแน่นและตกอยู่ใต้อำนาจ คนมักเข้าใจคำว่า “รักตัวเอง” ผิด การรักตัวเองสนับสนุนการยอมรับ แต่หลายคนกลับใช้เป็นข้ออ้างที่จะไม่เผชิญความท้าทาย จริงๆ แล้วการรักตัวเองมีองค์ประกอบสองอย่างที่ต้องสมดุลกัน หากปรารถนาจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
องค์ประกอบแรก ส่งเสริมการรักตัวเองอย่างไม่มีเงื่อนไข โดยเน้นไปที่รอบความคิด ข้อเท็จจริงก็คือ คุณจะไม่รักตัวเองมากขึ้นหรอกถ้าพยายามลดหรือเพิ่มน้ำหนัก หรือทำศัลยกรรมพลาสติก เป็นต้น อาจรู้สึกมั่นใจขึ้นแต่การรักตัวเองที่แท้จริงคือ การพอใจในจุดที่อยู่และในสิ่งที่เป็น ไม่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์อย่างที่มุ่งหวัง
องค์ประกอบที่สอง ส่งเสริมการเติบโตโดยเน้นไปที่การลงมือทำ การพัฒนาตัวเองก็เป็นการแสดงความรักตัวเอง เพราะนั่นหมายความว่า คุณตระหนักว่าตัวเองสมควรได้สิ่งที่ดีกว่าการอยู่ในระดับปานกลาง เวลาพูดถึงการรักตัวเอง ขอให้คิดว่าการรักผู้อื่นอย่างไม่มีเงื่อนไขเป็นอย่างไร เช่น คู่รักของคุณอาจมีนิสัยน่ารำคาญ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณรักเขาน้อยลง คุณยอมรับสิ่งที่เขาเป็น คุณไม่ได้ตัดสินอีกฝ่ายอย่างโหดร้าย แต่อยากให้เขาเป็นตัวเองในแบบที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้การรักตัวเองก็คือการทำเรื่องเหล่านี้กับตัวเองโดยยึดถือผลประโยชน์สูงสุดของตัวคุณเป็นที่ตั้ง
การรักตัวเองที่แท้จริงจะเป็นเรื่องอะไรก็ได้ที่เพิ่มคุณค่าให้ตัวคุณ ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน พิธีกรรมทางจิตวิญญาณ หรือวิธีปฏิสัมพันธ์ในความสัมพันธ์สวนตัว และแน่นอนว่าแง่มุมสำคัญของการรักตัวเองก็คือการยอมรับ หรือก็คือการพอใจในสิ่งที่คุณเป็น การรักตัวเองจึงเป็นการเป็นตัวของตัวเองและกาปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระ
พอรักตัวเองเป็น ชีวิตถึงจะเริ่มรักคุณตอบ
จักรวาลตอบรับ กฎแห่งแรงสั่นสะเทือน ของคุณโดยจะย้อนพลังงานนั้นปล่อนออกมาคืนสู่คุณ
ก่อนอื่นจำไว้ว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นจากอะตอม และทุกอะตอมก็คือแรงสั่นสะเทือนน้อย ๆ ดังนั้นสสารและพลังงานทั้งหมดต่างก็คือแรงสั่นสะเทือนโดยธรรมชาติ
ในหนังสือซื่อ The Vibrational Universe ของนักเขียนทางจิตวิญญาณที่ชื่อเคนเนท เจมส์ ไมเคิล แม็คลีน กล่าวไว้ว่าสัมผัสทั้งห้าและความคิดของเรา รวมไปถึงสสารและพลังงาน ล้วนเป็นการสั่นสะเทือนทั้งสิ้น เขาโต้แย้งว่า ความเป็นจริงก็คือการรับรู้โดยตีความจากแรงสั่นสะเทือน จักรวาลของเราเป็นทะเลลึกแห่งความถี่ของแรงสั่นสะเทือนหมายความว่า ความเป็นจริงก็คืออากาศธาตุสั่นสะเทือนชนิดหนึ่งที่ตอบรับต่อความเปลี่ยนแปลงของแรงสั่นสะเทือนนั่นเอง
ถ้าจักรวาลตอบรับต่อความคิด คำพูด ความรู้สึก และการกระทำของเรา เพราะทั้งหมดต่างก็สั่นสะเทือนดังที่แม็คลีนกล่าวไว้ละก็ กฎแห่งแรงสั่นสะเทือนก็เชื่อว่าเราควบคุมความเป็นจริงของตัวเองได้
เปลี่ยนวิธีที่คุณคิด รู้สึก พูด และกระทำแล้วคุณจะเริ่มเปลี่ยนโลกของตัวเอง
การจะทำให้ความคิดกลายเป็นรูปร่างจริง หรืออย่างน้อยก็เป็นจริงสำหรับคุณ ก็ต้องเชื่อมต่อกับความถี่ในแรงสั่นสะเทือนของสิ่งนั้น ยิ่งนึกภาพว่าสิ่งนั้นเป็น”จริง” หรือเป็นรูปเป็นร่างมากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งเข้าใกล้แรงสั่นสะเทือนของมัน นี่คือเหตุผลว่าทำไมเวลาเชื่อบางสิ่งอย่างจริงจังหรือทำเสมือนว่าสิ่งนั้นเป็นจริงอยู่แล้ว โอกาสที่สิ่งนั้นจะเป็นรูปเป็นร่างจริงก็ยิ่งเพิ่มขึ้น
การจะทำให้หรือรับรู้ว่าสิ่งที่คุณปรารถนาเป็นจริงนั้น ต้องทำให้ทั้งความคิด อารมณ์ คำพูด และการกระทำเป็นไปในทางเดียวกับสิ่งที่ปรารถนา เมื่อตอบสนองแรงสั่นสะเทือนกับอะไรบางอย่าง ก็จะเริ่มดึงดูดสิ่งนั้นให้เป็นความเป็นจริงของคุณ หนทางดีที่สุดที่จะบ่งชี้ว่าคุณอยู่ในความถี่ใดคือ การดูอารมณ์ของคุณ เพราะอารมณ์จะสะท้อนถึงพลังของคุณอย่างแท้จริง บางคราวเราอาจเชื่อว่าตัวเองมีอารมณ์ที่เป็นบวกหรือกำลังกระทำสิ่งดี
แต่ลึกๆแล้ว เรารู้ว่าตัวเองแค่เสแสร้ง หากใส่ใจต่ออารมณ์ของตนเอง จะเห็นธรรมชาติที่แท้จริงของแรงสั่นสะเทือนของเรา รวมถึงสิ่งที่เราดึงดูดเข้ามาในชีวิตด้วย ถ้าเรารู้สึกดีก็จะคิดเรื่องดีและทำสิ่งที่เป็นบวกในที่สุด
10 พฤติกรรมของคนมีวิถีชีวิตที่เป็นบวก
1.พาตัวเองไปอยู่ท่ามกลางคนคิดบวก เพื่อซึมซับพลังงานดี ๆ จากพวกเขา เช่นเดียวกันกับคนที่มีแต่พลังงานลบ พาตัวเองออกมาจากคนเหล่านั้นซะ
2.ยิ้มเมื่อรู้สึกเครียด เปลี่ยนภาษากายของคุณเมื่อเจอกับเหตุการณ์แย่ ๆ สถานะภายในจะเชื่อและเปลี่ยนตามภาษากาย
3.ใช้เวลากับธรรมชาติ พักผ่อนและถอยห่างจากสิ่งที่ทำให้เครียด อย่ากลัวที่จะอยู่คนเดียว
4.ค้นหาแรงบันดาลใจอยู่เสมอ การมีแรงบันดาลใจจะทำให้เจอกับแรงขับเคลื่อน คุณจะรู้สึกดีต่อสิ่งที่ทำและมองเห็นโอกาสต่าง ๆ ในชีวิต
5.อยู่ให้ห่างจากคำนินทา รวมถึงเรื่องดราม่าด้วย เพราะนั่นเต็มไปด้วยพลังงานลบ มันจะทำให้คุณเครียด กังวลและมีสถานะทางอารมณ์ที่ต่ำลง
6.ใส่ใจกับอาหารการกิน เพราะสิ่งที่เราเอาเข้าร่างกายมันมีคลื่นความถี่ด้วยนะ เช่น ผลไม้ออร์แกนิกเป็นอาหารประเภทคลื่นความถี่สูงและแอลกอฮอล์มีแรงสั่นสะเทือนต่ำมาก
7.แสดงความขอบคุณอยู่เสมอ การรู้สึกขอบคุณเต็มไปด้วยพลังที่เปี่ยมล้น การนับเรื่องดี ๆ จะช่วยให้คุณมองหาสิ่งดีในทุกสิ่งที่อยู่รอบตัว
8.ศึกษาอารมณ์ในทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์เชิงลบหรือเชิงบวก การเมินอารมณ์เชิงลบเหมือนกันการเก็บสารพิษไว้ในระบบของเรา แทนที่จะเมินมัน ให้เปลี่ยนมันเป็นอารมณ์เชิงบวกแทน
9.ให้ความสำคัญกับปัจจุบัน การใช้ชีวิตกับหน้าจอมากเกินไป ทำให้มนุษย์เราไม่ได้เพลิดเพลินไปกับเวลาตอนนี้ เช่น เราดูคอนเสิร์ตผ่านโทรศัพท์ทั้งที่ศิลปินอยู่ตรงหน้า ตอนนี้เป็นเวลาเดียวที่เรามีอยู่ สร้างความทรงจำและซึมซับมันซะ
10.ทำสมาธิ ทำให้คุณสงบ คุณจะโกรธน้อยลงและเบิกบานมากขึ้น ลองนั่งสมาธิวันละ 15 นาทีเป็นเวลา 30 วัน คุณจะเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
อาจดูเป็นพฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ทั่วไปที่ดูไม่ส่งผลอะไรต่อเรามากนักแต่รู้ไหมว่าการเริ่มจากรายละเอียดเล็ก ๆ เหล่านี้จะช่วยให้เราพร้อมที่จะดึงดูดพลังงานบวกเข้ามาในชีวิต
การพาตัวเองออกจากพลังงานลบ เป็นส่วนหนึ่งของการใช้ กฎแรงดึงดูด
หากคุณคือคนที่กำลังตกอยู่ใน Toxic Relationship และยากที่จะก้าวเดินออกมา อาจจะกำลังเจ็บปวดกับความรักที่ทำร้ายกันและกัน ทุกข์กับสังคมการทำงานแต่ไม่กล้าลาออก และห่วงใยคนอื่นก่อนตัวเองเสมอ
สุดท้ายแล้ว ทั้งหมดนี้ใครกันที่เจ็บปวดมากที่สุด ตัวคุณ คนรัก เพื่อนร่วมงาน เพื่อนหรือคนอื่น คำถามนี้คุณคงตอบได้ด้วยตัวเองเองแบบไม่ยากเลย ทำให้นึกถึงคำพูดของนักจิตวิทยาท่านหนึ่งที่กล่าวว่า บางทีการที่เราไม่กล้าก้าวออกมาจากความสัมพันธ์ที่เป็นพิษนั้น อาจเป็นเพราะลึก ๆ แล้ว เราก็รู้สึกว่าตนเองสมควรได้รับมันแล้ว
ถ้าคุณกำลังเจอกับปัญหาเหล่านี้อยู่ หนังสือ Good Vibes Good Life บอกว่า “คุณคู่ควรกับสิ่งที่ดีกว่าและเลือกสิ่งที่ดีกว่าให้ตัวเองได้เสมอ” หนังสือเล่มนี้ถูกพูดถึงในมุมของพลังงานบวกดึงดูดพลังงานบวกบ่อยครั้ง แต่จริง ๆ แล้วอีกแง่มุมนึงที่น่าสนใจมาก คือ การพาตัวเองออกจากพลังงานลบ จะทำให้ดึงดูดพลังบวกได้ง่ายขึ้น
การตีตัวออกห่างจากคนที่ทำให้แรงสั่นสะเทือนของเราลดลงเรื่อย ๆ ไม่ใช่ความเห็นแก่ตัว แต่เป็นการปกป้องความอ่อนโยนของเราไว้และการกล้าออกจากความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ เป็นเหมือนการแสดงความรักต่อตัวเอง
“เพราะ ความสัมพันธ์ เป็นสิ่งเปราะบาง การก้าวออกมาจึงไม่ใช่เรื่องง่าย”
แต่ต้องบอกตัวเองไว้ว่า คุณไม่ได้มีพลังงานมากพอที่จะหยิบยื่นมันให้ใครก็ได้ คุณต้องเก็บมันไว้ให้ตัวเองด้วย อาจจะน่าเศร้าที่ต้องยอมรับว่า แม้ว่าจะเริ่มต้นความสัมพันธ์กับคนคนนึงได้ดีมากแค่ไหน พวกเขาก็อาจจะสร้างความเจ็บปวดให้กับเราได้แบบซ้ำแล้วซ้ำเล่า พูดหรือกระทำอะไรที่บั่นทอนเราได้เสมอ
“บางคราวคุณก็ต้องพาตัวเองออกจากพิษภัยเพื่อรักษาตัว”
การอยู่กับคนที่เป็นพิษจะทำให้เรารู้สึกหมดแรง โดนดูดพลัง ไม่ว่าจะเป็น สังคมที่เป็นพิษ คู่รักที่ทำร้ายบั่นทอนกัน เพื่อนที่ไม่จริงใจ และบางครั้งเราก็ต้องตัดคนเหล่านี้ออกไป เพื่อเยียวยาจิตใจ ให้พื้นที่ตัวเองได้เติบโตขึ้นได้อย่างงดงาม แข็งแรง ถูกทำร้ายได้ยาก
สุดท้ายแล้ว การรักตัวเองและการเพิ่มระดับแรงสั่นสะเทือนจะเกิดขึ้นพร้อมกัน เมื่อพยายามเพิ่มแรงสั่นสะเทือน คุณก็ได้แสดงให้ตัวเองเห็นถึงความรักและความใส่ใจที่สมควรจะได้ คุณจะรู้สึกดีและดึงดูดสิ่งดี แถมยังทำให้สิ่งที่ดีกว่าเกิดขึ้นอีกมากมาย ด้วยการทำสิ่งดี ๆ และเปลี่ยนกรอบความคิด เมื่อรู้จักรักตัวเอง คุณก็จะได้ใช้ชีวิตอย่างที่รัก
บทความโดยสำนักพิมพ์ howto